ค.ศ. 2035 - Point of No Return เมื่อโลกเดินไปผิดทาง

ค.ศ. 2035 – Point of No Return เมื่อโลกเดินไปผิดทาง

ค.ศ. 2035 – Point Of No Return เส้นตายสมมติที่มีอยู่จริงก่อนที่โลกจะกลายเป็น ‘เตาอบ’

ถึงเวลาที่เราต้องตระหนักและลงมือทำบางสิ่งบางอย่างเพื่อโลกที่น่าอยู่ของเรา

‘อากาศร้อนขึ้นทุกๆปีจนที่เข้าขั้นวิกฤติ’ โดยปัจจุบันอุณหภูมิที่ลำปางทำลายสถิติ All Time High ของตัวเองไปเเล้ว ที่ 44.2 องศาเซลเซียส!

‘พายุใต้ฝุ่นที่ทรงพลังมากขึ้น’ พายุใต้ฝุ่นมังคุดก่อนขึ้นฝั่งที่เกาะลูซอน มีความรุนเเรงระดับ 5 เป็นระดับสูงที่สุด ตามมาตรวัด Saffir-Simpson เเละ มีขนาดใหญ่กว่าพายุเฮอริเคนฟลอเรนซ์ที่พัดเข้าฝั่งอเมริกาถึง 3 เท่า!

‘สหรัฐอเมริกาเยือกเเข็งที่อุณหภูมิ -47 องศาเซลเซียส’ หนาวฉับพลันจนฉลามเเข็งตาย จากปรากฏการณ์ Polar Vortex ที่เกิดติดกันบ่อยขึ้น

‘หน้าหนาวของกรุงเทพมหานครที่ไม่ค่อยจะหนาว’ เเละยังอุดมไปด้วยฝุ่น PM 2.5

มนุษย์เรากำลังเผชิญกับอะไร?

สิ่งเหล่านี้ทำให้ภาพ ‘จุดจบของโลก’ เเบบในภาพยนตร์ฮอลลีวูดเรื่อง ‘The Day After Tomorrow’ เริ่มชัดเเละดูใกล้ความจริงขึ้นเรื่อยๆ

เเละสาเหตุที่ถือว่าเป็นตัวการหลักของเรื่องนี้คือ ‘ภาวะโลกร้อน’

สาระสำคัญส่วนหนึ่งของ ‘Paris Agreement’ คือ ทุกประเทศต่างมีเป้าหมายร่วมในการรักษาการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกให้ต่ำกว่า ‘2 องศาเซลเซียส’ (เทียบกับระดับอุณหภูมิเฉลี่ยยุคก่อนปฏิวัติอุตสาหกรรม) โดยมุ่งเน้นลดการใช้แหล่งเชื้อเพลิงฟอสซิล แสวงหาแหล่งพลังงานทดแทน และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

ซึ่งหากไม่ปฏิบัติตามเเละยังคงระดับการใช้พลังงานอย่างที่เป็นเช่นทุกวันนี้ไปจนล่วงเลยปี ค.ศ. 2035 ไป จากนั้นทุกความพยายามในการป้องกันไม่ให้โลกร้อนขึ้นเกิน 2 องศาเซลเซียสนั้นจะไร้ผลอย่างสิ้นเชิง เราเรียกว่า ‘สายเกินจะเเก้ไข’ หรือ ‘Point of no return’ นั่นเอง

โดยที่งานวิจัยนี้ยังเผยต่ออีกว่า “เราได้ก้าวผ่านช่วงเวลาที่จะรักษาการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกให้ต่ำกว่า 1.5 องศาเซลเซียสไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว”

ผลพวงของอุณหภูมิที่เพิ่มขึ้นอาจกระตุ้นกลไกตามธรรมชาติอื่น ๆ ทำให้ตัวเลขอุณหภูมิถีบตัวสูงขึ้นเกินกว่า 2 องศาเซลเซียส จนนำไปสู่ปรากฏการณ์ที่โลกร้อนขึ้นทุกปี โดยนักวิทยาศาสตร์ได้ตั้งชื่อปรากฎการณ์นี้ว่า ‘Hothouse Earth’

Hothouse Earth คือ ภาวะที่โลกร้อนจนเทียบได้กับการ ‘อาศัยอยู่ในเตาอบ’ ซึ่งเป็นสภาพอากาศที่เลวร้ายและจะร้อนที่สุดในรอบ 1.2 ล้านปี โดยที่เมื่อเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น ‘มนุษย์จะไม่สามารถเเก้ไขอะไรได้อีกเเล้ว’

หากเวลานั้นมาถึง โลกที่เปรียบเสมือน ‘บ้าน’ ของเราอาจจะเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล ภัยทางธรรมชาติจะมีความรุนแรงเเละมีความถี่ที่มากขึ้น รวมถึงความผิดเพี้ยนของฤดูกาล โดยที่ทุกสัญญาณเตือนกำลังกลายเป็น ‘การทวงคืน’

ตัวเลขปี ค.ศ.2035 ทั้งบ่งบอกถึงเส้นตายและเวลาที่เหลือน้อยเข้าไปทุกทีสำหรับการทำให้สิ่งต่างๆนั้นถูกต้อง และยังสื่อถึง ‘ความเร่งด่วน’ ในการที่เราจะป้องกันโลกของเราไม่ให้ไปถึงจุดที่ ‘ไม่อาจเเก้ไขอะไรได้อีกเเล้ว’

 

อ้างอิง